คนที่มีริมฝีปากดำ คล้ำ เรามีวิธี แก้ปากคล้ำ มาบอกเพราะ ริมฝีปากอมชมพู สวย เป็นอีกหนึ่งสิ่ง ที่ทุกคนไม่ว่าจะผู้หญิง และผู้ชาย ต่างก็อยากมี เพราะนอกจาก จะทำให้เรา ดูสุขภาพดี แล้วนั้น ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ ให้กับเรามากขึ้น อีกทั้งยังช่วย ให้สาวๆอย่างเราๆ ทาลิปสติกได้สวยมากยิ่งขึ้นอีก
สำหรับบางท่านนั้น ก็มีริมฝีปากชมพูสวยมาตั้งแต่เกิด ตามกรรมพันธุ์ หรือ สำหรับบางท่าน ก็ปากคล้ำมาตามกรรมพันธุ์เช่นกัน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อย ที่เพิ่งมาปากคล้ำ เนื่องจากอาการแพ้เคมี ไม่ว่าจะเป็น อาจจะเนื่องจากการสูบบุหรี่ หรือจากอาการแพ้ ส่วนใหญ่นั้นจะเกิดมาจากปัญหาแพ้ลิปสติก ที่เราสาวๆอย่างเราๆ ทุกคนใช้กันอยู่ทุกๆวันที่แหละค่ะ
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า ปากเราคล้ำจากกรรมพันธุ์หรือคล้ำจากเคมี
ปากคล้ำจากกรรมพันธุ์ VS ปากคล้ำที่เกิดจากการแพ้เคมี
ปัญหาปากคล้ำที่พบ ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน จะแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ ปากคล้ำจากกรรมพันธุ์ และ ปากคล้ำจากการแพ้เคมี ไม่ว่าจะเป็น แพ้ลิปสติก บุหรี่ หรือแม้กระทั่ง ครีมบำรุงบางตัว และยาสีฟัน เรามาดูกันได้เลยค่ะ ว่าสองกลุ่มนี้ แตกต่างกันอย่างไร
ข้อแรก : ปากคล้ำจากกรรมพันธุ์
หากบรรพบุรุษ ครอบครัวเรามีลักษณะริมฝีปากคล้ำ นั่นคือเป็นการถ่ายทอด ของพันธุกรรม ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่มีผิวคล้ำก็ มักจะมีสีริมฝีปากที่คล้ำ เช่นกัน ถือว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ หรือ อาจจะเกิดจาก ปัจจัยภายนอก เช่น การโดนแดดจัด อาหารรสจัด อุปนิสัยที่ชอบเลียปากเป็นประจำ ลักษณะนิสัยที่เรา ใช้ชีวิตประจำวัน อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ ริมฝีปากคล้ำได้ด้วยเช่นกัน
ริมฝีปากที่คล้ำจากกรรมพันธุ์ มีลักษณะอย่างไร
- ปากคล้ำจากรรมพันธุ์ ปากจะออกสีน้ำตาลอมเทา น้ำตาลอมน้ำเงิน หรือ น้ำตาลไหม้ โดยระดับความคล้ำ ของปากที่คล้ำจากรรมพันธุ์นี้ จะแบ่งออกเป็น 1-5 ระดับ
- ปากที่คล้ำจากกรรมพันธุ์จะแก้ไข ได้ยากกว่าปากที่คล้ำจากอาการแพ้เคมี
ข้อสอง : ปากคล้ำจากอาการแพ้เคมี
ปัญหาปากคล้ำส่วนมากที่หลายคนส่วนใหญ่ จะประสบปัญหานี้ คือ ปากคล้ำจากอาการแพ้เคมี ไม่ว่าจะเป็น การแพ้ลิปสติก การแพ้ครีมบำรุงบางชนิด แพ้ยาสีฟัน บุหรี่ เป็นต้น
ริมฝีปากที่คล้ำจากการแพ้เคมี มีลักษณะอย่างไร
- ปากคล้ำจากอาการแพ้เคมี ปากจะออกสีน้ำตาลอมม่วง โดยระดับความคล้ำ ของปากที่คล้ำจากอาการแพ้เคมีนี้ จะแบ่งออกเป็น 1-3 ระดับ
- ปากที่คล้ำจากอาการแพ้เคมีนี้ จะแก้ไขได้ง่ายกว่า ปากคล้ำที่เกิดจากกรรมพันธุ์
อาการแพ้ลิปสติก ปัญหาใกล้ตัว ที่ไม่ควรมองข้าม
ลิปสติก เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ที่มีการใช้อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ในอดีต โดย การใช้ลิปสติก มีประวัติย้อนไปถึงยุคกลาง คนไทยรุ่นเก่า ๆ มักเรียกว่า รูจ ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะทาริมฝีปาก เพื่อช่วยให้ชุ่มชื้นไม่แห้ง ช่วยปกป้องผิว ของริมฝีปากจากสิ่งกระทบภายนอก ช่วยแต่งเติมรูปปากให้สวยงามขึ้น แต่งสีให้เด่นสะดุดตาแลดูงดงาม ดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น เป็นต้น
และเนื่องจากลิปสติก เป็นเครื่องสำอาง ที่อาจจะมีการกลืนกิน เข้าไปในร่างกายได้ ดังนั้น การเลือกซื้อลิปสติก ต้องระมัดระวัง เป็นพิเศษ ให้เลือกซื้อที่ได้มาตรฐาน เพราะถ้าเลือกใช่ลิปสติกที่ไม่ได้มาตรฐานนอกจากจะทำให้เกิดอาการแพ้แล้ว อาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
และอีกอย่างในภาวะปัจจุบัน มีการแข่งขันกันทางการตลาดด้านความสวยความงามค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ผลิตบางรายนั้นต้องการลดต้นทุนการผลิต และใช้สารบางตัวที่เป็นสารระคายเคืองเป็นส่วนผสม อันก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบได้ ผู้ที่ระคายเคืองง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ ในบางท่านอาจจะทำให้ริมฝีปากคล้ำลงได้
ประเภทของลิปสติก
- ประเภทที่ 1 : ลิปสติกที่ใช้ตกแต่งริมฝีปาก เช่น ลิปเนื้อแมต ลิปเนื้อซาติน ลิควิดลิปสติก หรือลิปจิ้มจุ่ม เป็นต้น
- ประเภทที่ 2 : ลิปที่ให้ความชุ่มชื่น หรือ ลิปกลอส (lip gloss) เป็นลิปสติกไม่มีสี หรือสีอ่อนมาก ใช้ป้องกันริมฝีปากแห้งแตก เพื่อให้เกิดความชุ่มชื่น เนียนนุ่ม
การระคายเคือง ปากแห้ง ปากคล้ำ จากการแพ้ลิปสติก
ผู้ที่มีอาการแพ้ลิปสติก จะมีอาการมาก น้อย แตกต่างกัน หากแพ้น้อยอาจ จะมีอาการเพียงริมฝีปากแห้ง แต่หากแพ้มาก อาจเกิดอาการ ริมฝีปากอักเสบ บวมหรือหายใจไม่ออก เมื่อมีอาการแพ้ ต้องหยุดใช้ลิปสติกแท่งนั้น ทันที แล้วเปลี่ยนไปใช้ลิปสติก ชนิดอื่นแทน เช่น ใช้ลิปสติกชนิด ที่ไม่มีน้ำหอม การแพ้เครื่องสำอางนั้น ส่วนใหญ่เป็นไปเฉพาะแต่ละบุคคล ฉะนั้น บางคนอาจแพ้ แต่บางคนไม่แพ้ สำหรับลิปสติกพบว่ามี 1 ใน 5 ล้านคน ที่มีอาการแพ้ลิปสติกโดยธรรมชาติ
การใช้ลิปสติก ทาบนริมฝีปากเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการแพ้ ได้ง่ายกว่าผิวหนังบริเวณอื่น การแพ้ลิปสติกนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากสารปนเปื้อนในน้ำหอม และสี แต่แนวโน้มการแพ้ลิปสติก ได้ลดลงมาเป็นลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากผู้ผลิต ใช้วัตถุดิบที่บริสุทธิ์ขึ้น มีสารปนเปื้อนน้อย ในการผลิตลิปสติก ในปัจจุบัน
สาเหตุของการแพ้ลิปสติก
- น้ำหอมในลิปสติก อาจมีสารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการแพ้
- สีในลิปสติก อาจมีสารปนเปื้อน ทำให้แพ้ได้ และสีบางชนิดทำให้ริมฝีปากไวต่อแสงแดด
- ลิปสติกที่มีไขมันและน้ำมันน้อย อาจทำให้ริมฝีปากแห้งแตกทำให้แพ้ง่าย
- สารตัวเติมอื่นๆ บางตัวมีฤทธิ์เป็นตัวเร่งการแพ้
วิธีรับมือเมื่อเกิดอาการแพ้ลิปสติก
- หยุดใช้ลิปสติกแท่งนั้นทันที
- หากรู้สึกปากแห้งตึง ห้ามแกะ เกา ปากโดยเด็ดขาด เพราะอาจจทำให้ปากแห้งแตก และอักเสบไปมากกว่าเดิม
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำจะเข้าไปช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย และริมฝีปากที่แห้งอีกด้วย
- ทาวาสลีน เพื่อช่วยให้ริมฝีปากของเราชุ่มชื่น และถ้าหากดันแพ้วาสลีนอีก แนะนำว่าให้ทาลิปบาล์ม หรือลิปมันที่ไม่สีและกลิ่นเจือปนจะดีที่สุดนะคะ
- ดูแลความสะอาด รวมถึงทายาเพื่อรักษาอาการแพ้ เช่น ไตรโนโลน ชนิดป้ายปาก เป็นต้น
- กรณีที่สาวๆ ริมฝีปากบวมมากกว่าปกติจากอาการแพ้หรืออาจจะรู้สึกแสบร้อนด้วย สามารถใช้น้ำแข็งประคบได้นะคะ ความเย็นจากน้ำแข็งจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบให้ดีขึ้น แต่ถ้าดูอาการไปสักระยะแล้วริมฝีปากยังไม่ดีขึ้นเลย แสดงว่าแพ้หนักจริงๆ แนะนำว่าไปพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ
การแก้ไขปัญหาปากคล้ำ / วิธีแก้ปากคล้ำ
การแก้ปากคล้ำ ไม่ว่าจะปากที่คล้ำ จากการแพ้เคมี หรือ ปากคล้ำกรรมพันธุ์ มีหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงริมฝีปาก การดื่มน้ำ และการสครัปริมฝีปาก ที่มีสูตรสครัปมากมาย หลากหลาย ให้เลือกใช้ แต่อาจจะไม่ได้ผลเรื่องทำให้ปากชมพูขึ้นเท่าที่ควร แต่จะช่วยให้ริมฝีปากเนียนนุ่ม ชุ่มชื่นขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ช่วยแก้ไข เรื่องสีโดยตรง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องใช้เวลา อาจจะเป็นผลดีในระยะยาว
อีกหนึ่งทางเลือก สำหรับสาวๆที่อยาก แก้ปากคล้ำให้กลับมาอมชมพูอีกครั้ง บางท่าน อาจจะไปเลเซอร์ปากชมพู หรือ สักปากหรือการฝังสีปาก ก็เป็นอีกทางเลือก ที่เห็นผลชัดเจนและรวดเร็ว เป็นสักเพื่อแก้ไขปัญหา ปากคล้ำ ที่นิยมกันมาก ทั้งผู้หญิงและผู้ชายในตอนนี้
1.การเลเซอร์ปากชมพู
การแก้ปากคล้ำ โดยการ เลเซอร์ จะเป็นการไปทำลาย เม็ดสีผิวที่คล้ำบางส่วนออกไป ก็จะทำให้ ปากหาย ดำคล้ำ ได้ เดี๋ยวนี้เทคนิคนี้ ไม่ยุ่งยาก ไม่น่ากลัว ส่วนจะทำให้หายคล้ำเลย ก็ขึ้นกับความเข้ม ของสีผิวที่ปาก แต่ส่วนใหญ่มักต้องทำค่อนข้างหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับพื้นปากเดิมของแต่ละคน ส่วนราคาค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์ปากชมพูนั้น จะค่อนข้างสูงกว่าการสักปากหรือฝังสีปาก ซึ่งราคาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิกเช่นกัน
2.การสักปาก และ การฝังสีปาก
การสักปากและการฝังสีปาก เป็นการใช้เข็มสัก ลงสีบนริมฝีปากเพื่อแก้ไข ปกปิด หรือกลบปากคล้ำ วิธีการนี้ เป็นอีกวิธีที่นิยมกันเพื่อแก้ปากคล้ำ เพราะ ราคาไม่สูงเท่าการเลเซอร์ และการสักปาก สักไปแล้วปากเป็นสีชมพูประมาณ 2-3 ปี และไม่ทำปฏิกิริยากับร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ส่วนใครที่กังวลเรื่องความสะอาด และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สัก หายห่วงได้เลย ถ้าเลือกคลินิกหรือร้านที่ได้มาตรฐาน ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด สีที่ปลอดภัย
สักปาก
การสักปากเพื่อแก้ไขปัญหาปากคล้ำ ผลลัพธ์ที่ได้ จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวปากเดิมของลูกค้าด้วย โดยที่ขั้นตอนในการสักปาก เพื่อแก้ริมฝีปากคล้ำ ให้เป็นสีชมพูสวยจะต้องแก้ไข 2-3 รอบ กรณีคล้ำมาก อาจจะต้องแก้ไขหลายรอบ
ข้อดีและข้อควรรู้ของการ สักปาก
- เจ็บน้อย อาจจะมีรู้สึกบ้างกรณีคนที่มีริมฝีปาก ค่อนข้างหนา หรือบางท่านไม่เจ็บเลย
- อาจจะมีอาการบวม ประมาณ 1 วัน หลังสัก แต่สามารถทานยาลดบวมได้
- อาการช้ำเข็ม บางท่านอาจจะมีอาการช้ำหลังสัก แต่ความช้ำ จะค่อยๆหายไปเอง
- หลังสัก ปากจะค่อยๆ ลอกเป็นแผ่น ใช้เวลาลอก ประมาณ 3-4 วัน
- สีติด 30-50 % ติดทนประมาณ 2-3 ปี *ขั้นอยู่กับสภาพผิว การดูแลรักษาและพื้นปากเดิมของลูกค้าแต่ละท่านด้วย
- มีเลือดซึม
- สีระเรื่อ เป็นธรรมชาติ
- การแก้ไขปากคล้ำ ต้องใช้เวลาในการปรับสีปาก โดยรอบแรกจะเป็นการลงสีรองพื้น เพื่อปรับสีปาก และเคลียร์ปากให้สว่างขึ้นก่อน 1 รอบ (โดยใช้สีส้ม) หลังจากนั้นถึงจะลงสีที่ชอบได้ เช่น สีชมพู สีแดง ได้ ซึ่งระยะห่างของการแก้ไขปากคล้ำในแต่ละรอบ ควรเว้นระยะห่าง 2 เดือนขึ้นไป
- ราคาไม่ไม่สูง
- วิธีดูแลรักษาคือห้ามโดนน้ำ จนกว่าปากจะลอกหมด
ฝังสีปาก
การฝังสีปาก หรือ nana baby lips จะเป็นเทคนิคฝังสีปาก แค่บริเวณผิวชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาปากคล้ำ โดยเทคนิคการฝังสีปากนี้ เป็นแค่การฝังแบบบางเบา ทะนุถนอมผิว ไม่ทำลายเนื้อเยื่อ ไม่ลึก ไม่มีบาดแผล ขณะสัก ไม่บวม ไม่ช้ำ ไม่มีเลือดซึม สีสวยเลยหลังทำ
ข้อดีและข้อควรรู้ของการ ฝังสีปาก
- เจ็บน้อยกว่าการสักปาก บางท่านอาจจะไม่รู้สึกเจ็บเลย
- หลังสักบวมน้อย หรือ แทบจะไม่บวมเลย
- ไม่มีอาการช้ำ หรือช้ำน้อย
- หลังสัก ปากจะค่อยๆลอกเป็นขุย หรือลอกเป็นฟิล์มบางๆ ใช้เวลาลอกประมาณ 3-4 วัน
- สีติด 50-70 % สีติดทนประมาณ 1-3 ปี *ขั้นอยู่กับสภาพผิว การดูแลรักษาและพื้นปากเดิมของลูกค้าแต่ละท่านด้วย
- ไม่มีเลือดซึม
- สีระเรื่อ เป็นธรรมชาติ
- การแก้ไขปากคล้ำ ต้องใช้เวลาในการปรับสีปาก โดยรอบแรกจะเป็นการลงสีรองพื้น เพื่อปรับสีปาก และเคลียร์ปากให้สว่างขึ้นก่อน 1 รอบ (โดยใช้สีส้ม) หลังจากนั้นถึงจะลงสีที่ชอบได้ เช่น สีชมพู สีแดง ได้ ซึ่งระยะห่างของการแก้ไขปากคล้ำในแต่ละรอบ ควรเว้นระยะห่าง 2 เดือนขึ้นไป
- ราคาสูงกว่าการสักปาก
- หลักสัก สามารถโดนน้ำได้ ดูแลรักษาง่ายกว่าการสักปาก
สีและการแก้ปัญหาปากคล้ำ
โดยการแก้ไขสีปากคล้ำ นั้นจะใช้เทคนิคโดยการกลบหรือฆ่าสี โดยจะใช้สีคู่ตรงข้ามในการแก้ไขสีปากที่คล้ำก่อน โดยสีส้มจะเป็นสีหลักในการแก้สีปากที่คล้ำให้ดูสว่างขึ้น และดูดีขึ้นได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น การสักปาก หรือการฝังสีปาก ไม่ได้อยู่ได้ถาวร อาจจะต้องมาเติมสีเรื่อยๆ หลังสัก แต่จะช่วยให้หายคล้ำได้เรื่อยๆ ในกรณีที่สาวๆ หรือ หนุ่มๆ ทั้งหลาย ปากคล้ำเพราะการสูบบุหรี่ การแก้ไขปากคล้ำ โดยการ สักปาก ฝังสีปาก หรือการเลเซอร์ปากชมพู อาจจะเป็นการแก้ไขปัญหาี่ปลายเหตุ ดังนั้ ทางที่ดี ควรจะงดสูบบุหรี่ จะดีที่สุดนะคะ