ปัจจุบันนี้ การสักคิ้วเป็นที่นิยมมากกก ไม่ว่าใครก็สักคิ้วกัน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และแทบจะทุกช่วงอายุเลยก็ว่าได้ เดี๋ยวนี้น้องๆ นักเรียนนักศึกษาก็หันมาสักคิ้วกันเยอะขึ้น และเทคนิคการสักคิ้วก็อัพเดทไปตามเทรนด์ช่วงนั้นๆ หลายคนที่สักมาก็ใช่ว่าจะสมหวังกันทุกคน บางคนสักมาแล้วก็ไม่ชอบก็มี ต้องหาวิธีแก้คิ้วหรือลบก็ว่ากันไป
หรือสักมาแล้ว มีแบบใหม่เข้ามา อยากสักตามเทรนด์ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม ความชอบของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องตามเทรนด์เสมอไป หากเราไม่ชอบนะคะ
ซึ่งเทรนด์การสักคิ้วในแต่ละปี ที่เปลี่ยนไปตามความนิยมและตามเทรนด์ความสวยงาม ดังนี้:
- ปี 2015 : ช่วงปีนี้จะเป็นการสักคิ้วสไลด์ เป็นการสักเพื่อเลียนแบบการเขียนคิ้ว ซึ่งแบบนี้จะมีความเป๊ะ เหมือนเราเขียนคิ้วด้วยดินสอเขียนคิ้ว
- ปี 2019: เทรนด์สักคิ้ว Ombre Powder Brows คือการสักคิ้วด้วยเทคนิคสีเข้มขึ้นที่หางคิ้วและสีอ่อนลงที่หัวคิ้ว ทำให้คิ้วดูเนียนและเป็นธรรมชาติ คล้ายการเขียนคิ้วสีฝุ่น และการสักแบบ Microblading เป็นการสักแบบลายเส้น เลียนแบบขนคิ้ว ที่ช่างจะ วาดเส้นตามแนวขนคิ้ว เทคนิคนี้จะให้ความเป็นธรรมชาติ คล้ายขนคิ้วจริง
- ปี 2020: เทรนด์สักคิ้ว Combo Brows มาเสริมความนิยม โดยรวมกันระหว่างเทคนิค Microblading และ Ombre Powder Brows เพื่อให้คิ้วดูเต็มขึ้นและมีขนาดที่เหมาะสมกับหน้า
- ปี 2021: เทรนด์สักคิ้วที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งมีการสักคิ้วทรงตรง (Straight Brows) แบบเกาหลีกันมากขึ้น
- ปี 2022: โดยในปีนี้ เทคนิคคิ้วที่มาแรงจะเป็นเทคนิค Hair Stroke เป็นการสักแบบลายเส้น แต่จะใช้เป็นเครื่องในการทำ จะเน้นความฟู ส่วนแบบ Microblading ก็ยังเป็นที่นิยมมาจนถึงตอนนี้ เพราะให้ความเบาบาง เป็นธรรมชาติ
- ปี 2023 : เทรนด์สักคิ้วในปีนี้ยังคงเน้นความเป็นธรรมชาติ แต่อาจมีการเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละบุคคลมากขึ้น เช่น การปรับรูปคิ้วให้เข้ากันกับรูปหน้า การเลือกสีสักคิ้วที่ตรงกับสีผม และการสักคิ้วให้ดูมีเส้นขนคิ้วเป็นธรรมชาติ
กรณีเคยสักคิ้วมาก่อน สามารถแก้คิ้วทำแบบ 6 มิติได้มั้ย
แอดรวบรวมข้อมูลที่หลายๆท่าน ที่อยากสักคิ้วใหม่ แต่ยังมีรอยเดิมอยู่ ว่าสามารถทำยังไงได้บ้าง สามารถทำทับได้เลยมั้ย หรือต้องลบก่อน
กรณีแรก : รอยสักเดิมยังค่อนข้างชัด เข้ม (ไม่ว่าจะเป็นการสักแบบไหนมาก่อน)
กรณีนี้แนะนำให้ลบรอยสักเดิมออกก่อนหรือหากรอได้ แนะนำให้รอให้คิ้วเดิมจางก่อนนะคะ เพราะหากทำทับไป ก็จะมองไม่ค่อยเห็นเส้นเท่าไหร่นัก เพราะพื้นเดิมคิ้วยังค่อนข้างมีสีเข้มอยู่
เนื่องจากการสักแบบลายเส้น 6 มิติหรือแบบ Hair Stroke จะมีช่องว่างระหว่างเส้น ทำให้เห็นรอยเดิม และหากรอยเดิมมีสีที่เข้มจะทำให้รอยสักใหม่ที่สักทับไป กลืนไปกับรอยสักเดิม
หรือหากไม่มีเวลาอยากทำเลย แนะนำให้เลือกเป็นแบบอื่นแทน เช่นแบบ Ombre แบบนี้จะเป็นการสักแบบระบายทับคล้ายเราเขียนคิ้วสีฝุ่น หรือแบบ Combo แบบนี้จะเป็นการสักแบบ ลายเส้นช่วงหัวคิ้วและหางคิ้วเราจะระบายแบบ Ombre ( แต่การสักทับเลยเหมาะกับคนที่โอเคกับทรงคิ้วเดิมอยู่ ไม่ได้อยากเปลี่ยนทรง หรือตำแหน่งคิ้วเดิมโอเคแล้ว เพราะจะปรับทรงคิ้วมากไม่ค่อยได้ เรายังคงต้องอิงตามรอยสักเดิมอยู่เพราะจะทำให้เห็นเป็นสองรอยได้ )
กรณีที่สอง : รอยสักเดิมจางแล้ว หรือลบมาแล้ว แต่ยังจางไม่หมด
กรณีนี้สามารถทำทับได้เลย แต่ทั้งนี้ตองแจ้งให้ทราบก่อนว่า ผลงานที่ออกมานั้นก็จะยังมองเห็นรอยเดิมอยู่บ้างนะคะ เพราะรอยสักเดิมที่มี ยังไม่ได้จางหายไปหมด แต่ก็ไม่ทำให้ไม่สามารถทำทับได้เลยซะทีเดียว
แต่หากเป็นคนที่ชอบคิ้วคลีนๆ หรืออยากได้แบบธรรมชาติจ๋าๆ แนะนำให้รอให้รอยสักเดิมจางหายจนหมดไป หรือลบต่อให้รอยสักเดิมจางหายไปหมดก่อนจะดีกว่านะคะ
กรณีที่สาม : รอยสักเดิมจางหมดแล้วหรือลบมาจนจางหมดแล้ว
กรณีนี้สามารถทำใหม่ได้เลย ก็จะได้ผลงานที่มีความเป็นธรรมชาติ เห็นเส้นชัด เรียงสวย ทรงคิ้วชอบประมาณไหน สามารถแจ้งกับช่างได้เลยยย
แล้วรอให้คิ้วจางเอง ต้องรอนานแค่ไหน
รอยสักจางเองอาจเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น
- ชนิดของสีที่ใช้สัก หากเป็นสีสมัยก่อนหรือสีเคมี สีชนิดนี้จะอยู่ทน นาน เป็นสิบปีก็ไม่จาง แต่สีแบบนี้จะให้สีที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่อาจจะตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบเข้มๆ อยู่ทนนาน
- ความลึกของสัก: หากสักไม่ลึกพอ สีที่สักจะหลุดออกหรือเฟดออกตามเซลล์ผิว ที่ผลัดออกตามธรรมชาติ
- การดูแลรักษา: การดูแลและรักษารอยสักอย่างไม่เหมาะสมเช่น การไม่ป้องกันแสงแดด การแกะเกาผิวหนังที่มีรอยสัก หรือการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เร่งการผลัดเซลล์ผิวหรือลอกผิว
- การแท้งสี: ในกรณีที่ร่างกายขับสีสักออกเอง หรือการที่ร่างกายไม่ยอมรับสีสัก
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย : การที่สีสักจางลงเกิดจากกระบวนการของเซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cells) หรือเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ที่ทำหน้าที่ยับยั้งและขจัดสารต่างๆ ที่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมหรือศัตรูของร่างกาย โดยเซลล์เม็ดเลือดขาวจะทำงานโดยการกินสีสักที่ถูกนำเข้าร่างกายออกไปตามธรรมชาติ เพราะสีสักนั้นถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่างกายของเรา ดังนั้นเมื่อสักลงบนผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจจะตระหนักถึงสารต่างๆ และพยายามขจัดสีสักเหล่านั้นออกไป อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการขจัดสีสักของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะแตกต่างกันออกไปตามบุคคล
ซึ่งข้อนี้ ส่วนใหญ่หากเป็นสีสักที่เป็นสีออร์แกนิกหรือสีที่ช่างสักคิ้วนิยมใช้ในปัจจุบัน ก็จะใช้ระยะเวลา 1-3 ปี สีจะค่อยๆจางหายไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมาด้านบน
ถ้ากรณีลบ ต้องลบกี่ครั้ง
การลบรอยสักนั้นจะเป็นการนำแสงเลเซอร์เข้ามาช่วยเร่งระยะเวลา ให้รอยสักจางลงได้อย่างรวดเร็วกว่าการรอให้รอยจางหายไปเองตามธรรมชาติ
การลบรอยสักด้วยเลเซอร์นั้นแสงเลเซอร์จากเครื่องจะตรงเข้าไปทำลายหมึกที่อยู่ใต้ชั้นผิว ให้แตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วการที่รอยสักจะจางลง โดยการใช้เลเซอร์ลบนั้น ร่างกายของเรากับเลเซอร์ทำงานร่วมกัน โดยที่เลเซอร์จะทำงาน โดยจะส่งพลังงานเข้าไปทำลายหมึกที่อยู่ใต้ผิว ให้แตกเป็นอนุภาคเล็กๆ หมึกอนุภาคขนาดเล็กเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและกำจัดออกจากร่างกายตามธรรมชาติ
แต่ถึงจะทำให้รอยสักจางเร็วกว่าปล่อยให้จางเองตามธรรมชาติ แต่การลบรอยสักก็ค่อนข้างเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดแผล และย่นระยะเวลาให้คิ้วจางลงเร็วกว่าเดิมอีกด้วย
เนื่องจากการทำเลเซอร์เพื่อลบในแต่ละครั้ง ต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เดือนจึงสามารถทำครั้งถัดไปได้ เราไม่ได้ให้รอโดยไม่มีเหตุผล เพราะหลังจากลบทันทีก็อาจจะยังไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่หลังจากลบไป 2 สัปดาห์ คุณจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
เว้นระยะห่างระหว่างการทำแต่ละครั้ง จะทำให้การลบครั้งต่อไปมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะพลังงานเลเซอร์จะเข้าไปทำลายหมึกที่อยู่ใต้ผิว หลังจากนั้นระบบกำจัดของเสียในร่างกายของเราจะทำหน้าที่จัดการกับอนุภาคหมึกที่ถูกทำลายเหล่านั้น ถ้าหากเร่งรีบที่จะลบครั้งต่อไปเร็วๆ หมึกที่เพิ่งถูกทำลายจากครั้งที่แล้ว ก็ยังไม่ได้ถูกกำจัดออกโดยร่างกายของเรา เพราะฉะนั้น การที่เร่งรีบลบ โดยไม่ได้ให้เวลาร่างกายเรากำจัดของเสียออก ก็ไม่ได้ทำให้รอยสักจางเร็วขึ้นกว่าเดิมนะคะ
ดูรีวิวการลบรอบสักคิ้วเพิ่มเติม Click